หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทความวิชาการ

 อีกไม่นานต้นไม้แต่ละต้นจะมีข้อมูลติดตามประจำตัว  "




ภายในป่ามีต้นเป็นแสนเป็นล้านต้น คนเดินป่า 
นายพราน คงจะเคยชินกับการเห็นสัญลักษณ์ต่างๆที่คนที่
เคยเดินผ่านต้นไม้ต้นนั้นๆทำไว้อาจจะเพราะเพื่อเป็นสัญลักษณ์
เพื่อป้องกันการหลงทางหรือเพราะจุดประสงค์อื่นๆในการค้า
และพวกอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์หรือคนที่ได้สัมปทาน
ในการตัดไม้เพื่อไปผลิตสินค้าประเภทต่างๆจะมีการลำเลียง
ท่อนไม้ออกไปเป็นจำนวนมากในบางครั้งก็ยากต่อการตรวจสอบ
ซึ่งบางทีก็ใช้เวลานานในการตรวจสอบว่าไม้ที่ถูกลำเลียงออกไป
นั้นเป็นสิ่งที่ตกลงกันไว้หรือไม่ ดังนั้นจึงเป็นแนวคิดในการพัฒนา
ระบบฉลากอัตโนมัติเพื่อช่วยในการชี้ระบุลักษณะประจำตัว
ของต้นไม้ด้วยคลื่นวิทยุ


ระบบจะใช้หลักการทำงานพื้นฐานของ RFID 
คือระบบที่ใช้คลื่นวิทยุเป็นตัวเก็บข้อมูลที่ต้องการและเป็นคลื่น
พาหะที่เชื่อมข้อมูลระกว่างสองอุปกรณ์นั่นก็คือ Tag หรือป้าย
ประจำตัวที่ติดกับตัวต้นไม้ และในส่วนของอุปกรณ์ที่อ่านค่าจาก
แผ่นป้ายประจำตัว หรือเครื่องแสกนข้อมูล โดยอุปกรณ์ตัวอ่านค่า
จะเชื่อมโยงข้อมูลไปกับฐานข้อมูลที่เก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์
หรือตัวประมวลผลนั่นเอง ซึ่งลักษณะการใช้งานของ RFID 
จะเห็นได้ทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าที่มีการคิดเงินตามเค้าเตอร์
ชำระเงินด้วยการอ่านบาร์โค้ดที่ติดอยู่กับตัวสินค้า


โดยปกติเจ้าของพื้นที่ป่าในแต่ละแห่งจะมีระบบการทำสัญลักษณ์
ตามท่อนไม้แบบดั้งเดิมอยู่แล้ว ซึ่งยากต่อการตรวจสอบข้อมูลทั้ง
ในส่วนของการขนส่งลำเลียงตั้งแต่ต้นทางไปยังปลายทางถึง
มือลูกค้า โดยระบบ RFID จะเป็นการนำเอาเทคโนโลยีมาเป็น
ตัวช่วยสำคัญในการช่วยให้ขั้นตอนการดำเนินการขนส่งลำเลียง
สินค้าที่เป็นท่อนไม้ขนาดใหญ่เป็นจำนวนมากทำได้ง่ายและ
มีความถูกต้อง เชื่อถือได้มากขึ้น ไม้ที่ถูกตัดและลำเลียง
ใส่รถบรรทุกจะผ่านประตูที่ทำหน้าที่ตรวจว่ามีไม้ประเภทใด 
ลักษณะใดและจำนวนตามที่ระบุไว้ตามใบสั่งสินค้าหรือไม้
ด้วยเครื่องอ่านแผ่นป้ายประจำตัวต้นไม้โดยไม่ต้องขนไม้ลงมา
จากรถบรรทุกทีละท่อน การตรวจสอบสินค้าจะทำทั้งที่ต้นทาง
และปลายทางเพื่อตรวจดูครวามถูกต้อง


Tag ที่ติดต้นไม้จะทำมาจากวัสดุผสมระหว่างกระดาษและลิกนิน 
โดยข้อมูลที่เก็บไว้ใน Tag จะมีเพียงตัวเลขประจำตัวและในส่วน
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นจะถูกเก็บไว้ที่ฐานข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์
ระบบนี้เป็นผลงานการพัฒนาของนักวิจัยจากสถาบัน Fraunhofer 
ในประเทศเยอรมันนี ที่มีการศึกษาและทดลองการใช้งานกับ
บริษัทที่ทำงานด้านนี้โดยตรง ซึ่งคาดว่าระบบจะเสร็จสมบูรณ์
ราวต้นปี 2011




ที่มา
http://www.vcharkarn.com/vnews/153229

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น